ไขปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
เนื่องจากเรื่องราวของดินแดนอาถรรพ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
เป็นเรื่องจริงที่ผู้คนกล่าวขานกันเป็นเวลายาวนานจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวแปลกๆพิลึกที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนสนใจเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างไม่น้อยเลยทีเดียว
ทำให้มีผู้นำเรื่องนี้มาสร้างภาพยนตร์แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงได้
เรื่องจริงอันลึกลับมหัศจรรย์
ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกเมื่อเรือเดินสมุทรและเครื่องบินนับร้อยพันพร้อมผู้โดยสารสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในบริเวณท้องทะเลอาถรรพ์ที่ขนานนามว่า “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา”
ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก
พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก
ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง
ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก
จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้
กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด
ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก
ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน
เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร
จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้
โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา
ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ
หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน
และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป
และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ
แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ
และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์
หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ
แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว
เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย
ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่
ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา
พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า
ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น
จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง
ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ
กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
เครื่องบินที่หายสาบสูญเหนือดินแดนอาถรรพ์
ความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
เริ่มสร้างความฮือฮาและดึงดูดความสนใจแก่มหาชน อย่างกว้างขวาง
เมื่อเครื่องบินหกลำพร้อมด้วยนักบินและพลประจำเครื่องของ
กองทัพเรือสหรัฐได้ถูกกลืนหายไปทั้งฝูงโดยไม่มีร่องรอยเหนือ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ใน วันที่ 5
ธันวาคม ค.ศ.1945 ห้าลำแรกถูกกลืนหายไปเป็นฝูงบินที่อยู่ระหว่างการฝึกบิน
ตามปกติซึ่งเป็นการซ้อมบินในเส้นทางสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเครื่องบินทั้งห้าเริ่มต้นออกจากสนามบินของกองทัพเรือสหรัฐ
โดยวางแผนการบินมุ่งไปทางทิศตะวันออก160ไมล์
บินเฉียงขึ้นไปทางเหนือ40ไมล์แล้วจึงบินกลับสู่ที่เดิมเป็น
รูปสามเหลี่ยมและเหตุที่ผู้ให้ สมญาอาณาบริเวณของมหาสมุทรแห่งนี้ต่าง ๆ นา ๆ เช่น “สามเหลี่ยมแห่งปีศาจ” “สามเหลี่ยมมรณะ”,”ทะเลอาถรรพ์” หรือ “สุสานของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค”
ก็เพราะการหายสาบสูญของเครื่องบิน
ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวนทั้งหกลำครั้งนั้นเอง
ซึ่งนักสังเกตการณ์ทั้งหลายต่างให้ข้อสงสัยว่า การวางเส้นทางฝึกบิน ของกองทัพเรือ
ในครั้งนั้น เป็นเส้นทางที่อยู่ในบริเวณเดียวกับอาณาเขตของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาและ
ก็เป็น ประจวบเหมาะที่มีเรือและเครื่องบินได้หายไปในท้องทะเลแห่งนั้น ด้วยสภาวะ
อันผิดปกติมาก่อนจำนวนไม่น้อย ดังนั้นเมื่อกองทัพเรือสหรัฐทั้งฝูง
กับเครื่องบินช่วยเหลือ ชื่อ มาร์ติน มารีนเนอร์พร้อมด้วยลูกเรือ 13 คนได้ถูกกลืนหายไปในบรรยากาศของดินแดน อาถรรพ์แห่งนี้ ก็ย่อมต้องมีการฮือฮาและโจษขานกันอย่างมากมายเป็นธรรมดา
รายการข้างล่างนี้คือ
หลักฐานการ สูญหายที่สำคัญของเครื่องบิน
และเรือเดินทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ที่เลือกนำมาแสดงนี้
เป็นกรณีที่สำคัญจริง ๆ ที่สร้างความวุ่นวายในการค้นหาและสอบสวน แก่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นยามสันติ หรือในสภาวะ ของสงคราม
ท้องทะเลแห่งความพรันพรึง
เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น
ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ
สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ
ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า
สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ
เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก
ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก
ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา
ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
ท้องทะเลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติค
บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด
เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก
กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว
แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็ไม่หมดเสียที
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล โดย
ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ
แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใดๆ
นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ
เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ
บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล
หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์เรื่องราวต่าง ๆ
ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ
เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่
ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง
ๆ ในสมัยกลางของยุโรป
พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้
มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น
พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ
รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้
และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่าเหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา
คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม
พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้น้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ
ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์
ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด คำบอกเล่าของผู้ที่หนีรอดมาได้
รายงานข่าวระบุว่า
เรือยอชต์ลำดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า “สกอร์ปิอุส” และจดทะเบียนไว้ที่เมืองโซชิ
เมืองท่าริมชายฝั่งทะเลดำของรัสเซียกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังประเทศไอซ์แลนด์
ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ในขณะที่เรือแล่นผ่านน่านน้ำ “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” ซึ่งหมายถึงน่านน้ำที่อยู่ระหว่างมลรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ
เกาะเบอร์มิวดาของอังกฤษ และเกาะเปอร์โตริโกของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าลงมากลางลำเรือ
จากนั้นสภาพอากาศก็เริ่มแปรปรวน และมีปรากฏการณ์ประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้น
กัปตัน เซอร์เก นิซอฟต์เซฟ เผยว่า หลังจากที่เรือของเขาแล่นเข้าสู่น่านน้ำอาถรรพ์ดังกล่าวไม่นาน ก็ต้องเผชิญกับพายุใหญ่ ขณะที่อุปกรณ์นำร่อง โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม รวมถึงการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อีกหลายชิ้นบนเรือ ต่างทำงานขัดข้องขึ้นมาพร้อมๆ กันโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนั้นยังเกิดปรากฏการณ์น้ำวนขึ้นหลายจุดไม่ไกลจากเรือ รวมถึง มีลูกเรือเห็นกลุ่มเมฆพวยพุ่งขึ้นจากมหาสมุทรในแนวตั้งคล้ายกับกำแพงหมอกควันขนาดใหญ่และมีวงกลมประหลาดเรืองแสงอยู่เหนือพื้นน้ำก่อนหายวับไป
กัปตัน เซอร์เก นิซอฟต์เซฟ เผยว่า หลังจากที่เรือของเขาแล่นเข้าสู่น่านน้ำอาถรรพ์ดังกล่าวไม่นาน ก็ต้องเผชิญกับพายุใหญ่ ขณะที่อุปกรณ์นำร่อง โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม รวมถึงการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อีกหลายชิ้นบนเรือ ต่างทำงานขัดข้องขึ้นมาพร้อมๆ กันโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนั้นยังเกิดปรากฏการณ์น้ำวนขึ้นหลายจุดไม่ไกลจากเรือ รวมถึง มีลูกเรือเห็นกลุ่มเมฆพวยพุ่งขึ้นจากมหาสมุทรในแนวตั้งคล้ายกับกำแพงหมอกควันขนาดใหญ่และมีวงกลมประหลาดเรืองแสงอยู่เหนือพื้นน้ำก่อนหายวับไป
ความเป็นมาในอดีตของท้องทะเลอาถรรพ์
ในปัจจุบันนักธรรมชาติวิทยาสามรถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า แผ่นดินบางส่วนเคยอยู่ใต้ทะเลหรือมหาสมุทรมาก่อน
และปรากฏว่านักธรรมชาติวิทยาได้ตรวจพบซากฟอสซิลของทะเลดึกดำบรรพ์ในชั้นดินต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้นนักธรรมชาติวิทยาได้ขุดพบซากปลาวาฬในผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่
ของรัฐมินเนโซตาอีกด้วย หรือแม้แต่บริเวณเทือกเขาอันเป็นผืนแผ่นดินที่อยู่ในระดับหลังคาโลก
เมื่อประมาณ 12,000ปีก่อน
น้ำแข็งที่ปกคลุมได้ถูกละลายเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นมีสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าผืนแผ่นดินใต้มหาสมุทรต่างๆที่กล่าวมาเป็นแผ่นดินใต้น้ำมาก่อนเมื่อประมาณ12,000ปีที่แล้ว คณะนักธรรมชาติวิทยาชาวรัสเซียเดินทางไปสำรวจทางตอนเหนือของเกาะอาโรเซส
พบว่าหินที่ขุดมานั้นเป็นหินที่เกิดจากการหลอมตัวและในตอนที่วิศวกรทำการวางสายเคเบิลเข้ามหาสมุทรแอตแลนติก
พบว่าหินลาวาภูเขาไฟชนิดหนึ่ง
เป็นหินที่ถูกแรงกดดันจากชั้นบรรยากาศด้านบนเช่นเดียวกัน
ในปี ค.ศ. 1969 คณะนักสำรวจจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ทำการสำรวจใต้ท้องทะเลคิบเบียน
พบว่าบริเวณเหล่านั้นเคยเป็นแผ่นดินที่อยู่เหนือพื้นน้ำมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ ดร. บรูซ ฮีเซน ได้สรุปข้อสังเกตว่า จวบจนกระทั่งบัดนี้
นักธรณีทั้งหลายได้เชื่อกันว่า หินแกรไนต์ขุดขึ้นมาจากท้องทะเลคาริบเบียนเป็นหินที่อยู่บนพื้นโลกมาก่อน
ดังนั้นการขุดพบหินชนิดนี้ใต้ท้องทะเล จึงเป็นสิ่งที่สนับสนุนความเชื่อถือว่า
ครั้งหนึ่งบริเวณแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของทวีปแอตแลนติกที่หายสาบสูญไป ตั้งแต่ 198 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน นักสำรวจทางทะเลได้ค้นพบหลักฐานหลายอย่าง
โดยเฉพาะใกล้ฝั่งไบมินิ
มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ปรากฏอยู่ใต้ทะเลลึกหลายแห่งทีเดียว
หินที่วางเป็นระเบียบแถวยาวเคยเป็นถนนหรือกำแพงหินมาก่อน
รูปทรงคล้ายกับสิ่งก่อสร้างศิลปะของชาวอินคาโบราณในประเทศเปรู
เสาหินต่างๆมีลักษณะเหมือนสิ่งก่อสร้างของชาวกรีกโบราณ
สิ่งก่อสร้างโบราณแห่งนี้พบเห็นได้ง่าย แต่บางที่ก็พบเห็นได้ยาก
เพราะระยะเวลานับเป็นหมื่นปีทำให้ซากหินเหล่านี้ถูกกทับอยู่ใต้พื้นดิน
บางจุดก็มีซากตึกหิน สิ่งนี้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์โดยไม่มีข้อสงสัยว่า
บริเวณเหล่านี้เคยเป็นเมืองมาก่อนในสมัยโบราณ
เรื่องล้ำยุคก่อนสมัยประวัติศาสตร์
เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ว่า
มนุษย์เมื่อสี่ห้าหมื่นปีมาก่อนอาจมีมันสมองฉลาดพอๆกับในยุคนี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง
มนุษย์เมื่อสี่ห้าหมื่นปีมาก่อนก็มีเวลาที่จะพัฒนาทางเทคนิคเช่นเดียวกับเราและเป็นไปได้อีกเหมือนกันว่ามนุษย์เหล่านั้นสามารถสร้างพลังงานนิวเคลียร์เองได้
เนื่องจากการผิดพลาดทางเทคนิคทำให้อารยธรรมของมนุษย์ยุคนั้นได้หายสาบสูญไป
และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง นักสังเกตการณ์ได้เห็นว่า
อาณาบริเวณของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาขณะนี้เป็นแหล่งที่ตั้งของชาวโลกพวกหนึ่ง
ในสมัยหลายหมื่นปีมาแล้ว ซึ่งต้องประสบกับหายนะและจมหายสาบสูญไปในท้องทะเล
อีกอย่างหนึ่ง
จากปรากฏการณ์ “น้ำขาว”
ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งสังเกตเห็นมาตั้งแต่สมัยโคลัมบัสจนถึงยุคอวกาศ
ย่อมแสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ประหลาดเหนือผิวน้ำเกิดจากการทำงานของพลังงานหนึ่งที่จมอยู่ใต้สมุทรก็เป็นไปได้
เพราะลำเส้นสว่างที่มีระยะทางยาวกว่าสิบไมล์
คงไม่ใช่แสงเรืองที่เกิดจากฝูงปลาแน่นอน
ส่วนปรากฏการณ์ที่ทำไห้เกิดการบิดเบือนของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์และเข็มทิศแม่เหล็กนั้นเชื่อว่าใต้ท้องทะเลนั้นเป็นแหล่งรวมอย่างหนาแน่นของโลหะ
ปรากฏการณ์น้ำขาว
ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ “มหาภารตะ” ยังกล่าวถึงอาวุธอีกอย่างหนึ่ง
ที่มัลักษณะเช่นเดียวกับจรวดนำวิถีติดหัวรบนิวเคลียร์ของเราในปัจจุบัน
ซึ่งคำบรรยายถึงอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ได้กล่าวได้ดังนี้… อาวุธของทั้งสองฝ่าย
ได้เกิดประสานกันกลางอากาศ ทำให้โลกทั้งโลก
พร้อมด้วยขุนเขาและท้องทะเลต้องสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณนี้ถูกเผาผลาญด้วยความร้อนจนเหลือแต่เถ้าถ่านท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยควันหนาทึบ
และจากคำบรรยายจากคัมภีร์ถึงสงครามโลกที่ยิ่งใหญ่เกิดจากการบุกคุกของพวก “อารยัน” จากทางเหนือนั้น
ส่อให้เห็นว่าผู้เขียนคัมภีร์นี้ไม่ได้เขียนจากจินตนาการเพราะการอ้างอิงได้ตรงกับทางฟิสิกส์
คือจากการตรวจสอบโครีงกระดูกของมนุษย์โบราณเมืองโมเฮนโจ
ดาโรและเมืองฮารัปปาในประเทศปากีสถาน
อ้างอิง
นางสาวณัฐณิชา แสนเสนา เลขที่ 8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น